“วัดโพธิ์ชัยเป็นโบราณสถานที่สำคัญยิ่งของจังหวัดเลย สันนิษฐานว่ามีอายุราว 400 ปี โดดเด่นด้วยวิหาร (สิม) เก่าแก่ที่มีสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นผสมผสานศิลปะล้านช้าง ภายในวิหารมีจิตรกรรมฝาผนัง (ฮูปแต้ม) อันงดงามทั้งด้านในและด้านนอก เล่าเรื่องราวพุทธประวัติและวรรณกรรมท้องถิ่นอย่างมีเอกลักษณ์ และยังเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าองค์แสน พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง”
วัดโพธิ์ชัยนาพึงตั้งอยู่ในพื้นที่ชุมชนบ้านนาพึง อำเภอนาแห้ว ซึ่งเป็นอำเภอชายแดนที่ยังคงมีสภาพความเป็นธรรมชาติและวิถีชีวิตพื้นบ้านที่เรียบง่าย โดยวัดเป็นศูนย์กลางของชุมชนมาอย่างยาวนาน
สันนิษฐานว่าวัดสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 22–23 (ประมาณ 400–500 ปีมาแล้ว) ก่อนการตั้งชุมชนบ้านนาพึง และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติเมื่อปี พ.ศ. 2530
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือ วิหาร (สิมเก่า) ซึ่งเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนแบบพื้นถิ่น หันหน้าไปทางทิศเหนือ มีทางเข้า 3 ด้าน (เหนือ ตะวันออก ตะวันตก) หลังคาเป็นทรงจั่ว มุงไม้แป้นเกล็ด มีชายคาปีกนกที่ยื่นออกมา ลักษณะชายคาที่ต่ำนี้เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นจังหวัดเลยที่ช่วยปกป้องจิตรกรรมจากฝนและแสงแดด
ทั้งภายในและภายนอกวิหารตกแต่งด้วย จิตรกรรมฝาผนัง (ฮูปแต้ม) ที่งดงาม ภายในเล่าเรื่องพุทธประวัติและพระเวสสันดรชาดก ส่วนผนังภายนอกบอกเล่าเรื่องเนมิราชชาดก, สังข์ศิลป์ชัย และการะเกด ภาพฝาผนังเหล่านี้สะท้อนทั้งความเชื่อ ประเพณี และวิถีชีวิตท้องถิ่นในอดีต รวมทั้งมีภาพสมัยใหม่ เช่น รถม้า รถไฟ และการแต่งกายร่วมสมัย ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากจิตรกรรมอีสานทั่วไป
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ พระเจ้าองค์แสน หรือ “พระพุทธรูปฝนแสนห่า” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่เล่ากันว่าอัญเชิญมาจากเชียงแสนพร้อมฆ้องทองและลูกแก้วทองสัมฤทธิ์ มีความเชื่อว่าหากพระองค์ประดิษฐาน ณ ที่ใด ที่นั้นจะไม่เกิดความแห้งแล้ง
นอกจากนี้ภายในวัดยังมี หอไตรไม้ (หอพระไตรปิฎก) และโบราณวัตถุ เช่น ฆ้องทอง ลูกแก้วทองสัมฤทธิ์ และปืนโบราณที่เก็บรักษาไว้เป็นมรดกท้องถิ่น
ลักษณะศิลปะของจิตรกรรมฝาผนังที่นี่มีเอกลักษณ์ คือการใช้เส้นอิสระ กล้าตัดสินใจ การลงสีสด เช่น น้ำเงิน เหลือง เขียว ทำให้งานมีพลังและแตกต่างจากงานฮูปแต้มทั่วไปในภาคอีสาน
พื้นที่ของวัดโพธิ์ชัยนาพึงมีขนาดประมาณ 4 ไร่ 1 งาน 73 ตารางวา และยังคงเป็นศูนย์กลางทางศาสนาและวัฒนธรรมของชุมชนบ้านนาพึงจนถึงปัจจุบัน
ฤดูกาลท่องเที่ยว: สามารถเข้าชมได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ (เมษายน) จะมีประเพณีสรงน้ำพระเจ้าองค์แสน อันเป็นพิธีสำคัญของชุมชน
วิธีการเดินทาง
-
รถยนต์ส่วนตัว: ใช้ทางหลวงหมายเลข 2113 (ด่านซ้าย–นาแห้ว) ผ่านอำเภอด่านซ้าย มุ่งหน้าสู่นาแห้ว เมื่อถึงเขตบ้านนาพึงจะมีป้ายบอกทางเข้าวัดอยู่ริมถนนสายหลัก
-
รถสาธารณะ: สามารถนั่งรถโดยสารประจำทาง (รถบัส) จากเมืองเลยหรือจากอำเภอด่านซ้าย ไปยังอำเภอนาแห้ว แล้วลงที่บ้านนาพึงหรือ ตลาดนาแห้ว จากนั้นต่อรถจักรยานยนต์รับจ้างหรือรถท้องถิ่นเข้าไปยังวัด
คำแนะนำ
-
เข้าชมด้วยความสำรวม ห้ามสัมผัสหรือทำลายจิตรกรรมฝาผนังและโบราณวัตถุ
-
แต่งกายสุภาพ เคารพสถานที่
-
สามารถสอบถามข้อมูลประวัติและรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากพระสงฆ์หรือเจ้าหน้าที่ในวัด
ค่าเข้าชม
- เข้าชมฟรี
เวลาเปิด–ปิด
- 06.00 – 17.00 น.
รีวิวทั้งหมด
(รีวิว 20 รายการ)รีวิวเมื่อ 21 มี.ค. 59
เมื่อ พระเจ้าองค์แสน เหาะมาประทับที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง ก็เกิดความอัศจรรย์แก่คนในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก และได้นำเอาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ ทำให้ชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงได้สร้างพระเจ้าองค์แสนอีกองค์หนึ่ง คู่กับพระเจ้าองค์แสน เรียกชื่อว่า "พระเจ้าองค์แสนเทียม" นอกจากนี้ ยังเชื่ออีกว่า หากแยกพระเจ้าองค์แสน กับพระเจ้าองค์แสนเทียม ออกจากกัน จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ทำให้ประชาชนเดือดร้อนในอดีตกล่าวกันว่า พระเจ้าองค์แสนเสด็จมาอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง บางครั้งก็เสด็จไปประทับที่อื่นบ้างอยู่เป็นประจำ โดยใช้แก้วที่อยู่พระเกศนำพาเสด็จ แต่เมื่อครั้งที่ไฟไหม้พระอุโบสถวัดโพธิ์ชัยนาพึง พระเจ้าองค์แสนได้เสด็จออกมาและเกิดเหตุไปชนกับประตูโบสถ์ ทำให้เกศแก้วหัก แก้วที่อยู่บนเกศเสด็จไปอยู่ที่ใต้ต้นโพธิ์ภายในวัด พอถึงวันสำคัญก็จะส่องแสงสว่างไปทั่ววัดเป็นเวลา 3 เดือน ต่อมาก็หายไป
พระเจ้าองค์แสน ก็ประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง บ้านนาพึงตั้งแต่นั้นมา โดยไม่ได้เสด็จไปไหนอีกเลย อภินิหารอย่างหนึ่งของพระเจ้าองค์แสน คือ ทางเมืองหลวงพระบาง ประเทศ สปป.ลาว ได้สืบค้นหาพระเจ้าองค์แสน จนทราบว่าท่านได้เสด็จมาอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง ทางเจ้าเมืองหลวง พระบาง จึงมาอัญเชิญพระเจ้าองค์แสนกลับเมืองหลวงพระบาง โดยจัดขบวนช้างมาอัญเชิญพระเจ้าองค์แสนกลับ แต่ไม่สามารถนำกลับไปได้ เนื่องจากช้างไม่ยอมก้าวเดิน จึงต้องอัญเชิญพระเจ้าองค์แสนประทับอยู่ที่เดิม และเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของบ้านนาพึงมาจนถึงทุกวันนี้
จากการสันนิษฐานของเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติและผู้รู้บางท่าน ซึ่งได้มีการนำเอารูปถ่ายของเกศในสมัยต่างๆ ไปเปรียบเทียบกับพระเจ้าองค์แสน พบว่า เป็นพระเชียงแสนยุคหลัง เป็นศิลปะลักษณะคล้ายไปทางหลวงพระบาง ต้นพุทธศตวรรษที่ 20 ถ้ามองแบบทางสุโขทัยก็เป็นยุคปลายสุโขทัย ข้อมูลนี้บันทึกโดย ปู่ช่วย บ้านนาพึง เรียบเรียงโดย นายอดิเรก คุณศิริ อาสาพัฒนารุ่นที่ 61 มีติดไว้ที่กุฏิเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ชัยนาพึง อ.นาแห้ว จ.เลย พุทธศาสนิกชน ที่มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวเมืองเลย ควรแวะเข้าไปกราบขอพรจาก "พระเจ้าองค์แสน" หรือ "พระเจ้าแสนห่า" พระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดเลย เพื่อความเป็นสิริมงคล
ที่มา นสฟ ข่าวสด
รีวิวเมื่อ 21 มี.ค. 59
เมื่อ พระเจ้าองค์แสน เหาะมาประทับที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง ก็เกิดความอัศจรรย์แก่คนในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก และได้นำเอาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ ทำให้ชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงได้สร้างพระเจ้าองค์แสนอีกองค์หนึ่ง คู่กับพระเจ้าองค์แสน เรียกชื่อว่า "พระเจ้าองค์แสนเทียม" นอกจากนี้ ยังเชื่ออีกว่า หากแยกพระเจ้าองค์แสน กับพระเจ้าองค์แสนเทียม ออกจากกัน จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ทำให้ประชาชนเดือดร้อนในอดีตกล่าวกันว่า พระเจ้าองค์แสนเสด็จมาอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง บางครั้งก็เสด็จไปประทับที่อื่นบ้างอยู่เป็นประจำ โดยใช้แก้วที่อยู่พระเกศนำพาเสด็จ แต่เมื่อครั้งที่ไฟไหม้พระอุโบสถวัดโพธิ์ชัยนาพึง พระเจ้าองค์แสนได้เสด็จออกมาและเกิดเหตุไปชนกับประตูโบสถ์ ทำให้เกศแก้วหัก แก้วที่อยู่บนเกศเสด็จไปอยู่ที่ใต้ต้นโพธิ์ภายในวัด พอถึงวันสำคัญก็จะส่องแสงสว่างไปทั่ววัดเป็นเวลา 3 เดือน ต่อมาก็หายไป
พระเจ้าองค์แสน ก็ประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง บ้านนาพึงตั้งแต่นั้นมา โดยไม่ได้เสด็จไปไหนอีกเลย อภินิหารอย่างหนึ่งของพระเจ้าองค์แสน คือ ทางเมืองหลวงพระบาง ประเทศ สปป.ลาว ได้สืบค้นหาพระเจ้าองค์แสน จนทราบว่าท่านได้เสด็จมาอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง ทางเจ้าเมืองหลวง พระบาง จึงมาอัญเชิญพระเจ้าองค์แสนกลับเมืองหลวงพระบาง โดยจัดขบวนช้างมาอัญเชิญพระเจ้าองค์แสนกลับ แต่ไม่สามารถนำกลับไปได้ เนื่องจากช้างไม่ยอมก้าวเดิน จึงต้องอัญเชิญพระเจ้าองค์แสนประทับอยู่ที่เดิม และเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของบ้านนาพึงมาจนถึงทุกวันนี้
จากการสันนิษฐานของเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติและผู้รู้บางท่าน ซึ่งได้มีการนำเอารูปถ่ายของเกศในสมัยต่างๆ ไปเปรียบเทียบกับพระเจ้าองค์แสน พบว่า เป็นพระเชียงแสนยุคหลัง เป็นศิลปะลักษณะคล้ายไปทางหลวงพระบาง ต้นพุทธศตวรรษที่ 20 ถ้ามองแบบทางสุโขทัยก็เป็นยุคปลายสุโขทัย ข้อมูลนี้บันทึกโดย ปู่ช่วย บ้านนาพึง เรียบเรียงโดย นายอดิเรก คุณศิริ อาสาพัฒนารุ่นที่ 61 มีติดไว้ที่กุฏิเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ชัยนาพึง อ.นาแห้ว จ.เลย พุทธศาสนิกชน ที่มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวเมืองเลย ควรแวะเข้าไปกราบขอพรจาก "พระเจ้าองค์แสน" หรือ "พระเจ้าแสนห่า" พระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดเลย เพื่อความเป็นสิริมงคล
ที่มา นสฟ ข่าวสด
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
พระเจ้าองค์แสน เดิมประทับ อยู่ที่เมืองหงสาวดี ประเทศพม่า ต่อมาได้ย้ายมาประดิษฐานอยู่ที่จังหวัดลำพูน จากเมืองลำพูน ไปประดิษฐานอยู่ที่เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว และจากเมืองหลวงพระบาง เสด็จมาประทับที่วัดโพธิ์ชัย บ้านนาพึง อ.นาแห้ว จ.เลย
ตามประวัติของพระเจ้าองค์แสน ได้เล่าสืบทอดต่อกันมาว่า พระเจ้าองค์แสน เมื่อไปประดิษฐาน ณ ที่แห่งใด จะมีฝนตกต้องตามฤดูกาล น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ เมื่อครั้งที่ พระเจ้าองค์แสน ประดิษฐานที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง ได้เสด็จมาทางอากาศ ขณะที่เสด็จมานั้นได้นำฆ้องน้อยห้อยที่ศอก และปืนห้อยศอกมาด้วย 1 กระบอก พร้อมกับมีพระพุทธรูปองค์เล็กติดตามมาด้วย 2 องค์ มีชื่อว่า พระเจ้าแก้ว หรือชาวบ้านเรียกว่า ลูกพระเจ้าองค์แสน
เมื่อ พระเจ้าองค์แสน เหาะมาประทับที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง ก็เกิดความอัศจรรย์แก่คนในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก และได้นำเอาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ ทำให้ชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงได้สร้างพระเจ้าองค์แสนอีกองค์หนึ่ง คู่กับพระเจ้าองค์แสน เรียกชื่อว่า 'พระเจ้าองค์แสนเทียม' นอกจากนี้ ยังเชื่ออีกว่า หากแยกพระเจ้าองค์แสน กับพระเจ้าองค์แสนเทียม ออกจากกัน จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ทำให้ประชาชนเดือดร้อน
ในอดีตกล่าวกันว่า พระเจ้าองค์แสนเสด็จมาอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง บางครั้งก็เสด็จไปประทับที่อื่นบ้างอยู่เป็นประจำ โดยใช้แก้วที่อยู่พระเกศนำพาเสด็จ แต่เมื่อครั้งที่ไฟไหม้พระอุโบสถวัดโพธิ์ชัยนาพึง พระเจ้าองค์แสนได้เสด็จออกมาและเกิดเหตุไปชนกับประตูโบสถ์ ทำให้เกศแก้วหัก แก้วที่อยู่บนเกศเสด็จไปอยู่ที่ใต้ต้นโพธิ์ภายในวัด พอถึงวันสำคัญก็จะส่องแสงสว่างไปทั่ววัดเป็นเวลา 3 เดือน ต่อมาก็หายไป
พระเจ้าองค์แสนก็ประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง บ้านนาพึงตั้งแต่นั้นมา โดยไม่ได้เสด็จไปไหนอีกเลย อภินิหารอย่างหนึ่งของพระเจ้าองค์แสน คือ ทางเมืองหลวงพระบาง ประเทศ สปป.ลาว ได้สืบค้นหาพระเจ้าองค์แสน จนทราบว่าท่านได้เสด็จมาอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง ทางเจ้าเมืองหลวง พระบาง จึงมาอัญเชิญพระเจ้าองค์แสนกลับเมืองหลวงพระบาง โดยจัดขบวนช้างมาอัญเชิญพระเจ้าองค์แสนกลับ แต่ไม่สามารถนำกลับไปได้ เนื่องจากช้างไม่ยอมก้าวเดิน จึงต้องอัญเชิญพระเจ้าองค์แสนประทับอยู่ที่เดิม และเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของบ้านนาพึงมาจนถึงทุกวันนี้
จากการสันนิษฐานของเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติและผู้รู้บางท่าน ซึ่งได้มีการนำเอารูปถ่ายของเกศในสมัยต่างๆ ไปเปรียบเทียบกับพระเจ้าองค์แสน พบว่า เป็นพระเชียงแสนยุคหลัง เป็นศิลปะลักษณะคล้ายไปทางหลวงพระบาง ต้นพุทธศตวรรษที่ 20 ถ้ามองแบบทางสุโขทัยก็เป็นยุคปลายสุโขทัย ข้อมูลนี้บันทึกโดย ปู่ช่วย บ้านนาพึง เรียบเรียงโดย นายอดิเรก คุณศิริ อาสาพัฒนารุ่นที่ 61 มีติดไว้ที่กุฏิเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ชัยนาพึง อ.นาแห้ว จ.เลย พุทธศาสนิกชน ที่มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวเมืองเลย ควรแวะเข้าไปกราบขอพรจาก 'พระเจ้าองค์แสน' หรือ 'พระเจ้าแสนห่า' พระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดเลย เพื่อความเป็นสิริมงคล
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
ทราบเพียงว่า ที่วัดนี้มีประวัติเกิดมาก่อนสร้างหมู่บ้านนาพึงเสียอีก...
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
ส่วนใหญ่สร้างไว้บนบก บางแห่งขังน้ำล้อมรอบ เพื่อป้องกันปลวก เป็นอาคารทรงสูง ใต้ถุนโปร่ง หรือทึบ ส่วนใหญ่ทำบันไดไว้ด้านนอก แต่บางแห่งใช้บันไดพาดขึ้นทางด้านใน รูปทรงทั่วไปคล้ายคลึงกับอุโบสถ หรือวิหาร แต่มีขนาดเล็กกว่า เช่น หอไตรวัดโพธิชัย บ้านนาพึง และวัดศรีโพธิชัย บ้านแสงภา อำเภอนาแห้ว ซึ่งมีลักษณะพิเศษ เป็นหลังคาสองชั้น มีลวดลายฉลุโปร่ง ตกแต่งสวย
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
ลักษณะของลายเส้นและการใช้สีบ่งบอกถึงความมีอิสระและเป็นศิลปะพื้นถิ่นอย่างแท้จริง
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
เกี่ยวกับเรื่องพุทธประวัติ และพระเวสสันดรชาดก
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
เป็นเรื่องเกี่ยวกับ เนมิราชชาดก สังข์ศิลป์ชัย และการะเกต
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
มีความผสมผสานระหว่างล้านช้างและล้านนา
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
ที่ประตูมีทั้งสามทิศมีสัตว์หิมพานต์เฝ้าอยู่ด้านละ 1 คู่
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
รีวิวเมื่อ 18 ต.ค. 53
เป็นธรรมาสน์อีกแบบหนึ่งที่นิยมสร้างให้วิจิตรพิศดาร มีทั้งในพระอุโบสถ และในศาลาการเปรียญ และที่อยู่นอกอุโบสถ ใช้ทั้งสวดปาฏิโมกข์และเทศนา ส่วนที่อยู่นอกอุโบสถจะใช้เฉพาะในการเทศน์เท่านั้น ธรรมาสน์ทรงปราสาทมีการจัดสร้างขึ้นตามกำลังศรัทธาเช่นเดียวกัน ธรรมาสน์ ทรงปราสาทหลังนี้ ไม้ที่แกะสลักค่อนข้างอ่อนช้อยสวยงาม ลงรักปิดทอง แต่หมู่บัวขนุนที่ชานรับ ธรรมมาสน์ทรงปราสาท ซุ้มมายอดปราสาท บนมุมบรรจบมีนาคแกะสลักและลวดลายตามขอบชั้นต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ตอบได้ถึงลายผสมไทยลาวได้ดี
รีวิวเมื่อ 18 ต.ค. 53
รีวิวเมื่อ 18 ต.ค. 53
วิหาร เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าก่ออิฐถือปูนหันหน้าไปทางทิศเหนือ มีประตูทางเข้า 3 ด้าน คือ ทิศเหนือ ตะวันออก และตะวันตก ประตุทั้ง 3 ทิศ มีสัตว์หิมพานต์เฝ้าอยู่ ด้านละ 1 คู่ ส่วนผนังด้านทิศใต้ก่อทึบ หลังคาทรงจั่วมุงด้วยไม้แป้นเกล็ด มีชายคาปีกนก โดยรอบรองด้วยเสาไม้หลังคาวิหารคลุมต่ำมาก ซึ่งเป็นรูปแบบเฉพาะของอาคาท้องถิ่นจังหวัดเลยและยังช่วยป้องกันภาพจิตรกรรมฝาผนังอีกด้วย