“การได้ชม พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นภายในถ้ำอย่างน่าทึ่ง เมื่อมี ลำแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาพอดี สร้างทัศนียภาพที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นภาพจำของอุทยานฯ”
ถ้ำพระยานาคูหา (Phraya Nakhon Cave) ตั้งอยู่ภายใน อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด เป็นหนึ่งในถ้ำที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทยและเป็นจุดหมายปลายทางที่พลาดไม่ได้ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ถ้ำแห่งนี้ไม่ได้เข้าถึงง่าย ๆ แต่ความพยายามก็คุ้มค่า: การเดินทางต้องเริ่มจากหาดแหลมศาลา แล้วต้อง เดินเท้าขึ้นเขาและลงเขา ผ่านทางที่ค่อนข้างชันและขรุขระในระยะทางรวมประมาณ 430 เมตร เส้นทางนี้ถือเป็นการเตรียมตัวทางจิตใจและร่างกาย ก่อนจะได้พบกับความยิ่งใหญ่ เมื่อเข้าไปถึงภายในถ้ำ ความงดงามและอลังการ ของโถงถ้ำขนาดใหญ่ที่มีช่องปล่องแสงเปิดรับแสงแดดจากด้านบน ก็สามารถลืมความเหนื่อยล้าไปได้หมดสิ้น
สิ่งที่ทำให้ถ้ำแห่งนี้มีชื่อเสียงและเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครคือ พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ ซึ่งเป็นพลับพลาขนาดเล็กที่สร้างขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสด็จประพาสและทรงประทับแรมเมื่อปี พ.ศ. 2433 นอกจากนี้ยังเคยมี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เสด็จฯ มาจารึกพระปรมาภิไธยไว้ด้วย ตัวพระที่นั่งตั้งตระหง่านอยู่บนเนินดินใต้ปล่องแสง ทำให้เมื่อ แสงแดดสาดส่องลงมาในเวลาที่เหมาะสม จะเกิดเป็นภาพลำแสงสีทองที่ส่ององค์พระที่นั่งอย่างเจิดจรัส ดูศักดิ์สิทธิ์และน่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง ภายในถ้ำยังเต็มไปด้วย หินงอกหินย้อยรูปทรงต่าง ๆ ที่สวยงามตามธรรมชาติ เช่น ม่านหินย้อย และเสาหินขนาดใหญ่
ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเข้าชมถ้ำ เพื่อให้ทันปรากฏการณ์ลำแสงศักดิ์สิทธิ์คือ ช่วงสาย ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง เวลา 10:30 น. ถึง 11:30 น. (ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและตำแหน่งของดวงอาทิตย์) การมาถึงหาดแหลมศาลาก่อนหน้านี้ประมาณ 1 ชั่วโมงจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น กิจกรรมนี้มอบประสบการณ์การผจญภัยและการสัมผัสถึง ประวัติศาสตร์ชาติไทย และ ความเชื่อทางศาสนา ผสมผสานกับความงามของธรณีวิทยาอย่างลงตัว ถ้ำพระยานาคูหาถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของความเป็นไทย ที่ได้รับการดูแลรักษาไว้ในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติอันบริสุทธิ์ บรรยากาศภายในถ้ำมีความเงียบสงบและเย็นสบาย แต่ภายนอกอาจมีอากาศร้อน จึงควรเตรียมพร้อมสำหรับการปีนเขา
ถ้ำพระยานาคูหาเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับ นักถ่ายภาพมืออาชีพและช่างภาพสายแลนด์สเคป ที่ต้องการจับภาพแสงเงาและสถาปัตยกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากนี้ยังเหมาะอย่างยิ่งสำหรับ ผู้ที่สนใจประวัติศาสตร์ และต้องการตามรอยพระบาทของกษัตริย์ รวมถึง ผู้แสวงหาความสงบทางจิตใจ ที่จะได้พักผ่อนท่ามกลางความศักดิ์สิทธิ์ของธรรมชาติและประวัติศาสตร์ การเดินขึ้นถ้ำยังเป็นบททดสอบความแข็งแกร่งที่น่าภูมิใจอีกด้วย
ความมหัศจรรย์แห่งแสงและเงาของถ้ำพระยานาคูหา คือภาพที่ควรค่าแก่การจดจำตลอดชีวิต ขอเชิญทุกท่านมาพิชิตเส้นทางสู่ถ้ำแห่งนี้ เพื่อสักการะพระที่นั่งอันศักดิ์สิทธิ์ และดื่มด่ำกับปรากฏการณ์ลำแสงแห่งสวรรค์ที่ทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่จดจำไปทั่วโลก
วิธีการเดินทาง
การนั่งเรือ:
- เดินทางไปที่ ท่าเรือบางปู แล้วเหมาเรือประมงขนาดเล็กไปยังหาดแหลมศาลา (จุดเริ่มต้นทางขึ้นถ้ำ) ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที
การเดินเท้าข้ามเขา:
- จากท่าเรือบางปู เดินเท้าข้ามเขาไปยังหาดแหลมศาลา ระยะทางประมาณ 500 เมตร จากนั้นเดินขึ้นถ้ำ (รวมระยะทางเดินค่อนข้างสั้นแต่ชัน)
คำแนะนำ
ช่วงเวลาเข้าชมแสง:
- วางแผนให้เดินทางถึงภายในถ้ำ ระหว่าง 10:30 น. - 11:30 น. เพื่อให้ทันชมลำแสงที่สวยที่สุด
รองเท้าและอุปกรณ์:
- ควรใส่ รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าปีนเขา ที่มีดอกยางกันลื่น นำ ไฟฉายคาดศีรษะ และ น้ำดื่ม ติดตัวไปด้วย
การถ่ายภาพ:
- ใช้ขาตั้งกล้องได้ เนื่องจากแสงน้อยในบางจุด และระมัดระวังเรื่องความชื้น
ข้อควรปฏิบัติ:
- เนื่องจากเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และอยู่ในเขตอุทยานฯ แต่งกายสุภาพ และห้ามสัมผัสหรือทำลายหินงอกหินย้อย
ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานฯ (ซึ่งครอบคลุมการเข้าถึงถ้ำพระยานาคูหา)
-
ชาวไทย: ผู้ใหญ่ 40 บาท, เด็ก 20 บาท
-
ชาวต่างชาติ: ผู้ใหญ่ 200 บาท, เด็ก 100 บาท
-
(อ้างอิง: อัตราค่าธรรมเนียมอุทยานแห่งชาติ)
ค่าบริการเรือ (ไป-กลับ หาดแหลมศาลา):
-
ค่าบริการเรือ: ประมาณ 200 บาท ต่อลำ
-
หมายเหตุพิเศษ: ไม่จำเป็นต้องใช้เรือหากเลือกเดินเท้าข้ามเขา
เวลาเปิด-ปิด (ถ้ำพระยานาคูหา)
-
เวลาทำการอุทยานฯ: 08:00 น. ถึง 16:30 น.
-
หมายเหตุพิเศษ: ควรเริ่มเดินทางขึ้นถ้ำ ไม่เกิน 15:00 น. เพื่อให้มีเวลาเพียงพอในการสำรวจและเดินทางกลับอย่างปลอดภัย
รีวิวทั้งหมด
(รีวิว 45 รายการ)รีวิวเมื่อ 30 ม.ค. 57
รีวิวเมื่อ 20 พ.ค. 55
จัดให้.....
หลวงพ่อเงิน เป็นบุตรคนที่ 4 ในจำนวนพี่น้อง 6 คน บิดาขื่อ อู๋ มารดาชื่อ นางฟัก สมัยเป็นเด็กหลวงพ่อเงินติดตามลุงชื่อ นายช่วง มาอยู่กรุงเทพ และบวชเป็นสามเณรที่วัดตองปู (วัดชนะสงคราม) เมื่อราวอายุ 12 ขวบ หลังจากบวชเณรอยู่ประมาณ 8 ปี ได้ลาสึกจากสามเณร กลับมาอยู่ที่บ้านบางคลาน
ช่วงชีวิตที่บวชเรียนนี่เองเชื่อว่าท่านได้ซึมซับพระธรรมคำสอนไว้อย่างลึก ซึ่ง เพราะปรากฎว่าท่านไม่ปรารถนาเพศฆราวาส ท่านเกือบจะแต่งงานกับสาวชาวบ้านคนหนึ่งชื่อ “เงิน” เหมือนกัน แต่ท่านทำบางอย่างที่ไม่คาดคิดนั่นคือ ได้ขออนุญาติจับอกพี่สะใภ้ เพื่อเปรียบเทียบกับน่องของตัวเอง จนเกิดปลงต่อสังขารโดยท่านอุทานออกมาว่า “นมกับน่องก็คือกันไม่เห็นจะต่างกันตรงไหนเลย” แล้วท่านก็ตัดสินใจอุปสมบทเป็นพระภิกษุฝากชีวิตไว้กับพระพุทธศาสนาตลอดชีวิต เป็นการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวมั่นคง เล่ากันว่าระหว่างนั้นหญิงสาวคู่รักท่านได้ปักตาลปัตร 1 เล่มมาถวายด้วยแต่ก็มิได้ทำให้ท่านเปลี่ยนใจ
พระภิษุเงิน พุทธโชติ ได้เดินทางไปศึกษาวิชาความรู้ด้านวิปปัสสนากรรมฐานแล้วอักขระสมัยที่วัดตอง ปู (วัดชนะสงคราม) อีกครั้ง ได้อยู่ที่วัดตองปู 3 พรรษา ก่อนจะกลับมาที่บางคลานเมื่อทราบว่าปู่ของท่านป่วยหนัก เมื่อกลับมาอยู่ที่บ้านเกิดท่านได้จำพรรษาที่ (วัดคงคาราม) หรือวัดบางคลานใต้ ที่วัดบางคลานใต้นี้จะเกิดอะไรมิทราบได้มีสมภาพชื่อ “หลวงพ่อโห้” หรือ “พระอาจารย์โห้” ท่านเป็นพระนักเทศน์ ซ้อมเทศน์ชาดกเสียงดัง พลวงพ่อเงินท่านเป็นพระวิปัสสนากรรมฐาน จึงติดสินใจไปอยู่ที่วัดวังตะโกซึ่งอยู่ตรงข้ามฟากแม่น้ำเลยขึ้นไปทางเหนือ หลวงพ่อเงินท่านคงอึดอัดใจมาก เล่าว่าท่านบ่นให้คนใกล้ชิดฟังว่า “ชาติเสือไม่ขอเนื้อใครกิน” แล้วก็หักกิ่งโพธิ์กิ่งหนึ่งติดตัวไปด้วยไปถึงบริเวณวัดวังตะโกแล้วก็อธิฐาน เสี่ยงบารมีปักกิ่งโพธิ์ลงไป ปกติตันโพธิ์จะไม่ขึ้นจากกิ่งแต่ประกฎว่ากิ่งที่ท่านอธิษฐานเจริญเติบโตงอก งาม อยู่คู่กับวัดวังตะโกหรือวัดบางคลานยาวกว่าหนึ่งร้อยปีเลยทีเดียว
เนื่องจากท่านเป็นพระที่เคร่งทางวิปัสสนา จึงมีคนเคารพนับถือมาก และชาวบ้านก็มาขอเครื่องรางของขลังจากท่านมิได้ขาด บางคนก็มาเพื่อให้รักษาโรคภัยไขเจ็บซึ่งท่านก็ช่วยอนุเคราะห์ให้ ต่อมาท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์และได้รับสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณ ฝ่ายวิปัสสนาในที่สุด
ท่านมีความเมตตาอารีต่อคนทั่วไป ใครมาหาก็ได้ต้อนรับเสมอ ชาวบ้านเอาสัตว์มาถวายท่าน
ท่านก็รับไว้จนบริเวณวัดกลายเป็นสวนสัตว์ย่อม ๆ เท่าที่สืบทราบมา ท่านรักช้างของท่านมาก และเคยใช้เป็นพาหนะในการเดินทางไปบวชลูกหลานให้ชาวบ้านอยู่เสมอ
รีวิวเมื่อ 20 พ.ค. 55
คือ ที่เก็บอัฐิหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร
รีวิวเมื่อ 20 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 20 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 20 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 20 พ.ค. 55
บ่อน้ำนี้ ขุดในสมัย ร.1 โดยเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช (ตำแหน่งเป็น เจ้าพระยา) ในครั้งที่เดินทางเข้ามากรุงเทพมหานคร โดยทางเรือซึ่งครั้งหนึ่งได้นำเรือเข้ามาหลบพายุในบริเวณหาดแหลมศาลา เป็นเวลาหลายวันจึ่งได้ขุดบ่อน้ำนี้เอาไว้ใช้ ชาวบ้านจึงเรืยกว่า "บ่อพระยานคร"
รีวิวเมื่อ 20 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
http://www.thai-tour.com/wb/view_topic.php?id_topic=539
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
อาหารหลักได้แก่ ใบไม้, ผลไม้และเมล็ดพืช โดยมี แมลง เป็นอาหารเสริม
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
เป็นทางชันบางช่วง 30 องศา
ควรเตรียมน้ำดื่มให้พร้อม ไฟฉายถ้ามี (แต่อาจไม่ต้องใช้) เพราะบนเพดานถ้ำเป็นปล่องโล่งรับแสงแดด ทำให้ถ้ำไม่มืดนัก
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
เกาะที่เห็น คือ เกาะสัตกูด
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55
รีวิวเมื่อ 19 พ.ค. 55